ตอนที่ 1: รอยเท้าบนผืนดินต้องห้าม
ม่านหมอกบางลอยคลอเคลียเหนือยอดไม้ของผืนป่าโบราณ ลำแสงอาทิตย์รำไรลอดผ่านพุ่มใบสลัวสลับเงา บรรยากาศอวลไปด้วยกลิ่นของดินชื้นและใบไม้ทับถมจากความดิบเถื่อนและเก่าแก่ของมัน กลิ่นที่ชวนให้นึกถึงกาลเวลาอันลึกซึ้ง เสียงกระซิบของสายลมที่ไล้ไปตามต้นไม้ดึกดำบรรพ์ คลอเคลียไปพร้อมเสียงแมลงแห่งพงไพรและเสียงนกป่าที่ขับขานราวกับขับกล่อมเหล่าผู้มาเยือนสู่แดนต้องห้าม
ใต้เงาไม้สูงเสียดฟ้า แสงสีทองบางเบาส่องกระทบกับเรือนร่างบอบบางผู้เดินผ่านไพรพฤกษาอย่างไร้ความขลาดกลัว
ณ ที่นี่ ไม่มีอะไรให้เธอต้องหวาดกลัว
อโฟรไดท์
เทพีแห่งความรักและความงาม ในเรือนร่างสง่างามที่เรืองรองด้วยมนตร์เสน่ห์เหนือปุถุชน ผิวเธอขาวเนียนราวหิมะแรกของฤดู ดวงตาสีฟ้าอำพันส่องประกายเย้ายวน เรือนผมทองยาวสยายไหวตามลมพรายพลิ้ว กระโปรงโปร่งบางเบาราวใยแมงมุมประดับไข่มุกปลิวแนบกับเรียวขาเรียวเสลาที่งดงามดั่งประติมากรรมจากหินอ่อนสีขาว
ทุกย่างก้าวของเธอทำให้พุ่มไม้สั่นไหว สรรพชีวิตหยุดฟังราวกับธรรมชาติกำลังจับจ้องเทพีผู้แปลกปลอมจากโอลิมปัส เธอก้าวอย่างเชื่องช้า ซึมซับกลิ่นดิน กลิ่นใบไม้ และสัมผัสเย็นชื้นใต้ฝ่าเท้าเปลือยเปล่า ดวงตาคู่งามกวาดมองไปรอบตัวด้วยแววซุกซนและค้นหา แวตาที่มักจะซ่อนเร้นไว้ด้วยเปลวไฟและความกระหายในสิ่งยั่วยวนและเร้าใจ
เท้าบางหยุดชะงักเมื่อพบกับร่องรอย…ของบางสิ่งที่เธอแน่ใจว่าไม่ธรรมดา
บนดินชื้นที่ปกคลุมด้วใบไม้หนา ทว่า มันยุบลึกลงไปราวถูกกดทับด้วยน้ำหนักมหาศาล — รอยเท้ากีบเท้าขนาดใหญ่ มีเพียงเท้า และหันไปยังทิศทางที่มุ่งลึกเข้าไปในแมกไม้ เธอแน่ใจว่านี่ไม่ใช่รอยเท้าของสัตว์ธรรมดา พลังงานดิบและกลิ่นเฉพาะของความเป็นป่าแผ่ซ่านออกมาจากรอยเท้านั้น ราวกับร่องรอยของบางสิ่งที่ไม่ควรถูกพบเห็น
“ช่างน่าสนใจกระไรล่ะ!” อโฟรไดท์กระซิบกับตนเอง ริมฝีปากแดงฉ่ำเผยยิ้มบางๆ ดวงตาสีฟ้าพลันเปล่งประกายซุกซนเมื่อเริ่มต้นค้นหาสิ่งที่เป็นปริศนา
เธอเดินลึกเข้าไปในป่า กระทั่งเสียงหนึ่งลอยมา...กระทบโสตสัมผัส
แผ่วเบา…หวานก้อง แต่ทรงพลัง มันคือเสียงขลุ่ยทุ้มต่ำที่ล่องลอยด้วยสำเนียงโบราณ ดิบ เหงา และปนเปด้วยเสน่ห์ที่ดุดัน เสียงนั่นราวกับจะปลุกเร้าให้เลือดในกายของผู้ที่ได้ยินได้ฟังให้ไหลร้อนแรงมากขึ้น เสียงที่กระซิบผ่านสายลมบางเบา แต่ดึงดูดหัวใจได้อย่างหนักหน่วง
อโฟรไดท์เคลื่อนไหวไปในทิศทางของรอยเท้าปริศนาปรากฏ
เมื่อเธอก้าวย่างผ่านหมู่ไม้ เสียงใบไม้แห้งกรอบแกรบราวมันกำลังส่งเสียงกระซิบ เสียงลมหายใจที่หนักขึ้นทุกย่างก้าวด้วยความตื่นเต้นที่เร่งเร้าอารมณ์
กระทั่ง...ที่นี่ เทพีหยุดลงกลางลานหญ้ารกร้าง ซึ่งถูกแสงอาทิตย์พาดผ่านช่องใบไม้สาดลงมาเป็นวงกลมราวเวทีแห่งโชคชะตา
และที่นั่น…เซไทร์
เขายืนอยู่ด้วยร่างสูงที่ใหญ่กำยำ ผิวสีน้ำตาลเข้มดั่งเปลือกไม้ในฤดูฝน แผ่นอกกว้างปกคลุมด้วยขนแกะอันอ่อนนุ่ม เบาบาง บนศีรษะของเขาประดับด้วยเขาที่เป็นกิ่งก้านโค้งคมและงดงามแบบธรรมชาติ เส้นผมหยักศกยาวถึงไหล่ สีดำสนิทและแซมไว้ด้วยมอสป่า ใบหน้าคมเข้มแต่เปี่ยมด้วยบรรยากาศอันเงียบงัน — ดวงตาสีเขียวมรกตสบเข้ากับเธอโดยตรง
ทั้งสองยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น
เสียงขลุ่ยเงียบไปอย่างมีนัยสำคัญ เหลือเพียงเสียงลมหายใจของธรรมชาติ และบางสิ่งในอากาศที่จับต้องไม่ได้
อโฟรไดท์ก้าวเข้าไปอีกก้าว
เซไทร์ผู้พิทักษ์ป่าและขุนเขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
แววตาเขานิ่งสงบ แต่ภายในซ่อนไว้ซึ่งเปลวเพลิงปรารถนา
อโฟรไดท์แย้มรอยยิ้มที่มุมปากฉ่ำหวานของเธอ
“เสียงเพลงของเจ้า ที่ทำให้ข้าต้องเดินตามมันมา...หรือเจ้าบรรเลงมันเพื่อเรียกขานถึงข้ากันแน่?”
เสียงของเธอก้องกังวานหวานแฝงความเย้ายวน กลิ่นหอมราวกุหลาบบนผิวกายของเธอเจือไปไหวในอากาศ — กลิ่นของกลีบกุหลาบสดที่แย้มสะพรั่งในรุ่งเช้า
เซไทร์ตอบช้าๆ เสียงต่ำและแหบพร่า
“ข้าแค่ประหลาดใจ ป่านี้ไม่ใคร่ได้ต้อนรับผู้มาเยือนจากฟ้าบ่อยครั้งนัก โดยเฉพาะเทพีผู้เอาแต่ใจ”
อโฟรไดท์เผยรอยยิ้มแกมหัวเราะ … กึ่งขบขัน กึ่งยั่วยวน
“เอาแต่ใจ? ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักข้าดีมาก?”
เซไทร์เดินเข้าใกล้ — เสียงฝ่าเท้าหนักๆ กระทบลงบนพื้นหญ้า กลิ่นกายของเขายิ่งเข้ามายิ่งเริ่มชัดเจนมากขึ้น กลิ่นของผืนดิน ไม้สด และเหงื่อของร่างกายที่เคลื่อนไหวอยู่ในป่าตลอดวัน กลิ่นนั้นกระตุกเส้นประสาทสัมผัสส่วนลึกเร้นของอโฟรไดท์ให้สั่นไหว
เธอสูดกลิ่นนั้นลึกๆ ดวงตาหลุบลงครู่หนึ่ง ก่อนเงยขึ้นสบตาเขาอีกครั้งด้วยแววตาใหม่ — วาบหวาม ท้าทาย และหิวกระหาย
“เป็นความจริง ข้าเดินทางมาเพราะข้าเบื่อกฎของโอลิมปัส... และข้ารู้ว่าที่นี่ ข้าอาจพบสิ่งที่กฎใดก็ขวางไม่ได้”
เขาหยุดยืนห่างจากเธอเพียงเอื้อมมือ — ลมหายใจอุ่นของทั้งสองปะทะกันในระยะนั้น
สายตาเขากวาดมองเธอจากศีรษะจรดปลายเท้าอย่างมีความหมาย และในขณะเดียวกัน อโฟรไดท์ก็จ้องเขาด้วยสายตาไร้ความละอาย — ทั้งคู่สำรวจอีกฝ่าย ราวกับนักล่าที่ไม่แน่ใจว่าใครเป็นเหยื่อ
“เจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่...” เขากระซิบ แต่เสียงของเขาอ่อนลง
เสียงนั้นเต็มไปด้วยแรงต้านที่กำลังถูกทลาย
“ข้ารู้...” อโฟรไดท์ขยับเข้าใกล้ ดวงตาสีอำพันวาบไหว
“นั่นแหละเหตุผลที่ข้ามา”
และในวินาทีนั้น —
ทุกอย่างหยุดนิ่ง
สายลมพัดผ่านร่างทั้งสอง กลีบไม้ไหวในจังหวะที่ตรงกัน ลมหายใจผสมปนจนแยกไม่ออกว่าเป็นของใคร เสียงหัวใจเต้นเร่งเร้าในอก — ไม่ใช่ของมนุษย์ แต่ของสิ่งที่มีอำนาจเหนือกว่านั้นทั้งคู่
ร่างกายและอารมณ์ต่างฝ่ายต่างพุ่งเข้าหากันด้วยแรงที่ไม่มีผู้ใดหยุดได้...
— จบบทที่ 1 —
ตอนที่ 2: เพลิงปรารถนาในร่มเงาไพร
แสงอาทิตย์ยามสายเลื้อยไหลผ่านช่องว่างระหว่างยอดไม้สูงเสียดฟ้า สาดแสงสีทองอ่อนลงบนพื้นป่าที่ชุ่มชื้น กลิ่นสดของมอสอ่อน ผสมกลิ่นไม้เปียกจากฝนที่ตกเมื่อค่ำวานยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ อโฟรไดท์เหยียบย่ำไปบนพรมเขียวที่ปูคลุมพื้นดิน รอยเท้าเล็กๆ ที่ทิ้งไว้เบื้องหลังจมหายช้าๆ ท่ามกลางใบไม้แห้งกรอบและแตกร้าวราวกับเสียงกระซิบของป่า
เสียงนกขับขานบางเบาที่เบื้องบน ถูกกลบลบจางด้วยเสียงฝีเท้าหนักๆ ของผู้พิทักษ์แห่งป่าเขา — เซไทร์ — เดินเคียงข้างอโฟรไดท์ในความเงียบงัน ไม่มีผู้ใดรู้สึกอึดอัด นอกจากความสงบ ทว่า..หนักอึ้งไปด้วยกระแสบางอย่างที่ยังไม่อาจเอ่ยได้เป็นคำอธิบายที่กระจ่างเจน
“ข้าเคยเชื่อว่าเทพีจากโอลิมปัสจะมิปรารถนามาเปรอะเปื้อนบนผืนดินผืนหญ้า โดยเฉพาะในป่าที่เต็มไปด้วยความดิบ โบราณ” เขาเอ่ยเสียงแหบต่ำ ขณะโน้มกายลงสัมผัสกลีบดอกสีครามที่ซ่อนอยู่ใต้เงาเฟิร์น “แต่นี่เจ้ากำลังเดินด้วยเท้าที่เปลือยเปล่าท่ามกลางรากไม้และหนามคม”
“ทำไมจึงไม่ล่ะ... ถ้าความเปรอะเปื้อนนั้นจะนำพาข้าให้ห่างได้จากความน่าเบื่อหน่ายของท้องฟ้า?” อโฟรไดท์ยิ้มขณะจ้องมองใบหน้าเขาที่ทอดเงาภายใต้เงาไม้ เธอเดินเข้าใกล้ จนชายผมสีทองของเธอไล้ผ่านปลายแขนเขาโดยบังเอิญ
ความร้อนจากสัมผัสนั้นแผ่ซ่านเหมือนไฟลุกวาบ ผู้พิทักษ์ผืนป่าสูดลมหายใจแผ่ว และเธอเองก็สัมผัสกับกลิ่นกายของชายอนุษย์ตนนี้อีกครั้ง — กลิ่นของเปลือกไม้ กลิ่นน้ำค้าง และหยดเหงื่อที่ติดเรือนกายจากการเคลื่อนไหวท่ามกลางพงไพรไม่หยุดหย่อน
“เจ้ารู้จักสมุนไพรพวกนี้หมดหรือ?” เธอถาม ขณะชะโงกหน้าไปดูกลีบดอกที่เขาถือไว้
“ทุกใบ ทุกดอก ทุกกลิ่น... พวกมันพูดกับข้า” เขาเอ่ย ขณะแตะดอกไม้ในมือเบาๆ และกลิ่นหอมอ่อนๆ ก็รวยรินให้เทพธิดาได้ชื่นชมกลิ่นของมัน
อโฟรไดท์โน้มหน้าเข้ามาใกล้ สูดกลิ่นหอมที่ลอยกรุ่นจากมือกว้างหยาบกร้านเขา ใบหน้าเธออยู่ใกล้เขาเพียงฝ่ามือเธอกั้น — ลมหายใจอ่อนๆ และร้อนกรุ่นของเธอปะทะผิวกายสีแทนของเขาเบาๆ เธอจ้องเขาผ่านแพขนตายาว หนา ดวงตาสีฟ้าอำพันกระจ่างและวับวาวราวเปลวไฟที่ซ่อนอยู่ใต้เถ้าถ่าน
“น่าสนใจ...” เสียงของเธอเหมือนเสียงหยดน้ำที่กระทบลงบนก้อนหินร้อน “เจ้ามีสายตาเหมือนสัตว์ป่าที่ครอบครองอาณาเขตของตน แต่กลับไม่รังเกียจข้าที่บุกรุก...”
เซไทร์ยืนนิ่ง ดวงตาสีเขียวมรกตของเขาจับจ้องเธอแน่นิ่ง สะท้อนความขัดแย้งที่ไหลวนอยู่ในใจ
“ข้าไม่รู้ว่าข้าอยากปกป้อง... หรืออยากเผาผลาญเจ้า”
เธอหัวเราะแผ่วเบา ทว่ามันไม่ใช่เสียงหัวเราะของเทพีผู้อ่อนหวาน มันเต็มไปด้วยแรงดึงดูด ราวกับมนตร์ของสตรีโบราณที่สามารถชักนำแม้แต่ธรรมชาติให้โน้มตัวเข้าหาเธอ
“แล้วเจ้าเลือกได้หรือยัง?” เธอกระซิบ ขณะปลายนิ้วแตะลงบนท่อนแขนแข็งแรงของเขา — สัมผัสถึงความแน่น หนา ราวกับสร้างขึ้นจากเปลือกไม้และกล้ามเนื้อที่ผ่านการหลอมด้วยฤดูทั้งสี่
เขาไม่ตอบเธอในทันที แต่เดินนำเธอไปเรื่อยๆ ผ่านแมกไม้และเส้นทางลับที่ไม่มีใครรู้จัก จนถึงลานเล็กๆ ที่มีธารน้ำไหลผ่าน แสงแดดลอดใบไม้ลงมากระทบละอองน้ำจนเกิดเป็นละอองรุ้งเล็กๆ ริมฝั่ง
“เราหยุดที่นี่เถอะ” เขาเอ่ย และนั่งลงบนโขดหิน เธอนั่งข้างเขา ขณะที่ปลายนิ้วเรียวของเธอแหวกน้ำในธารอย่างแผ่วเบา เสียงน้ำไหลกับเสียงลมหายใจของทั้งสองค่อยๆ กลายเป็นจังหวะเดียวกัน
“ในโอลิมปัส ไม่มีใครแตะตัวข้าได้โดยที่ข้าไม่ขออนุญาต” เธอกระซิบเบา ไม่ใช่เป็นคำเตือน... แต่เป็นการเชื้อเชิญ
เขาหันมาหาเธอช้าๆ ดวงตาของเขาแฝงแววลังเลเพียงชั่วครู่ ก่อนมือใหญ่จะเอื้อมไปแตะมือของเธอเบาๆ — ผิวของเธอเนียน ลื่น เย็นน้อยกว่าน้ำในลำธาร แต่กลับร้อนกว่าทุกสิ่งในโลกนี้
อโฟรไดท์หลับตาช้าๆ เมื่อเขาวางมือบนต้นแขนเธอ กล้ามเนื้อของเขาขยับข้างใต้ราวกับสัตว์ป่าที่รอจะตื่น ความร้อนแล่นพล่านขึ้นจากจุดสัมผัส ส่งผ่านไปทั่วร่างของเธอเหมือนไฟป่าในฤดูแล้ง
ไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมาในช่วงเวลานั้น มีเพียงเสียงหัวใจของทั้งคู่ที่เต้นระรัว กลิ่นกายของเขาหนักแน่นและอวลล้อมเธอไว้ กลิ่นเหงื่อ กลิ่นใบไม้สด กลิ่นดินที่เพิ่งถูกไถพรวน — กลิ่นแห่งชีวิตจริงที่ไม่มีในวิมานใดๆ
เธอโน้มตัวเข้าใกล้ ขณะที่เขาก็โน้มเข้ามา — สัมผัสกันผ่านชั้นผ้าบางเบา ที่ตอนนี้ไม่ใช่เกราะป้องกันอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งเร้าที่ทำให้ทุกการเคลื่อนไหว... ทุกการแตะต้อง... รุนแรงและชัดเจนยิ่งขึ้น
มือหยาบกร้านของเขาลูบไล้ผ่านแนวเอวเปลือเปล่าของเธอเบาๆ อโฟรไดท์สั่นสะท้าน แสงแดดที่ลอดใบไม้ลงมาทาบผิวเนียนของเธอเกิดเป็นม่านเงาที่พลิ้วไหว ราวกับผิวของเธอเองกำลังเต้นรำไปกับท่วงทำนองของสายลม
เธอสูดลมหายใจลึกและหนักกว่าที่เคย ริมฝีปากอิ่มฉ่ำเผยเผยอ แต่ทว่าไม่มีคำใดลอดเร้นออกมา นอกจากเสียงครางแผ่วที่หลุดลอดเมื่อเขาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกเฉียดปลายจมูก — สัมผัสที่แทบไม่ต้องแตะก็สะท้านไหวไปทั่วกระดูกสันหลัง
เขากระซิบเสียงพร่า “ข้าจะไม่หยุด... ถ้าเจ้ายังไม่หยุดข้า”
อโฟรไดท์ยิ้ม ก่อนเอื้อมมือแตะริมฝีปากเขาแผ่วเบา “ถ้าข้าต้องการหยุด ข้าคงไม่เริ่ม...”
เสียงสายลมเริ่มพัดแรงขึ้น ละอองน้ำจากลำธารเบื้องหลังฟุ้งกระจายรอบร่างของทั้งสอง แสงแดดหลบเร้นหลังเมฆ ทิ้งไว้เพียงไออุ่น ความหอม และแรงปรารถนาที่แผ่ซ่านไปทั่วพื้นที่เล็กๆ แห่งนั้น — ดั่งผืนป่าได้กลายเป็นแท่นบูชาแห่งความเร่าร้อน
— จบบทที่ 2 —
ตอนที่ 3: ปลดปล่อยพันธนาการแห่งหัวใจ
แสงแดดลาลับขอบไม้ แสงสีทองอ่อนตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยความนวลกระจ่างของแสงจันทร์ที่ค่อยๆ ทอผ่านยอดไม้ที่สูงส่ง ราวกับท้องนภาก็โค้งตัวลงมาเฝ้ามองพิธีกรรมของหัวใจที่กำลังจะเปิดเผยต่อกันอย่างไม่อาจซ่อนเร้น
เสียงลมหายใจของทั้งสองหนักหน่วงขึ้นในความเงียบ เงาสะท้อนของใบไม้ไหวระริกบนผิวธารสั่นคลอนตามแรงลมหอบแรกที่พัดผ่าน ร่างของเซไทร์แนบเข้าหาเธอโดยไร้การรั้งรอ กล้ามเนื้อแข็งแกร่งของเขาโอบรัดร่างบางของอโฟรไดท์ไว้แน่น ราวกับกลัวว่าเธอจะหลุดหายไปจากวงแขน
ลมหายใจของเขาอุ่นจัดแนบข้างแก้มเธอ แพขนตาของเขาเฉียดแก้มเธอบางเบา ขณะที่ริมฝีปากของเขาเคลื่อนลงช้าๆ สัมผัสผิวเธอที่สั่นสะท้านราวกับเปลวเพลิงที่ค่อยๆ ถูกจุดประกาย มีกระแสไฟในอากาศที่มิอาจมองเห็นได้แต่กลับไหม้ลึกลงในกายที่ลึกเร้น
เสียงอาภรณ์บางเบาที่ลู่กับกับสายลม ขยับและหลุดออกจากเรือนกายทีละชิ้น…ทีละชิ้น เสียงเนื้อผ้าที่เสียดสีกับผิวเนื้อทำให้หัวใจเต้นแรงแทบจะไร้ซึ่งจังหวะ กลิ่นกายชัดเจนของเขากระจายเข้าไปในลมหายใจของเธอ — กลิ่นหญ้าสด กลิ่นเถาวัลย์ที่เพิ่งหลุดร่วงจากเถาไม้ และกลิ่นสมุไพรร้อนแรงของบุรุษผู้ใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติที่แท้จริง
“เจ้า... เหมือนเปลวไฟที่ล่อลวงข้าให้เดินเข้าไปโดยไม่หวั่นว่าจะถูกเผาไหม้” เขากระซิบข้างหูเธอ เสียงพร่าหนักราวสายลมที่ก่อพายุกลางฤดูร้อน
ปลายนิ้วของเขาไล้จากต้นคอของเธอลงไปยังแผ่นหลังเนียนละเอียด ปลายนิ้วที่หยาบกร้านจากการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ สัมผัสกับผิวของเทพีที่นุ่มเนียนละเอียดละอออันไร้ตำหนิ ทุกการลูบไล้เหมือนจะปลุกเพลงไฟที่ซ่อนอยู่ในเลือดเนื้อของเธอ
อโฟรไดท์ส่งเสียงครางอย่างพอใจเมื่อเขาโน้มใบหน้าและประกบจูบ — ริมฝีปากเขาแนบแน่น เรียกร้อง ปรารถนา เธอเองก็ตอบรับคำร้องด้วยความปรารถนาและรสจูบของเทพีแห่งความรัก — เร่าร้อน หวานลึก และเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ใครก็ยากจะต้านทาน ลิ้นที่กระด้างดุดันของเขาสัมผัสพัวพันกับลิ้นที่นุ่มหวานของเธอกลางแสงจันทร์ ทั้งนุ่มนวล ดุดัน และเรียกร้องในเวลาเดียวกัน
ร่างของทั้งสองแนบชิดกันสนิทจนรู้สึกและรับรู้ถึงทุกจังหวะการเต้นของหัวใจในกันและกัน เสียงครางแผ่วเบาที่หลุดออกมาในความเงียบงันในป่า ราวกับธรรมชาติเองก็อยู่ร่วมเป็นสักขีพยานให้กับการปลดปล่อยความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ลึกเร้นแต่เร้าร้อนของทั้งเทพีจากท้องฟ้าและอนุษย์แห่งผืนป่าเหนือแดนดิน
มือหนากร้านกว้างใหญ่ของชายไพรประคับประคองไว้ซึ่งใบหน้างดงามอ่อนหวาน ขณะที่เธอเลื่อนกายตนเองขึ้นมาวางคร่อมร่างลงบนตักอันแกร่งกร้านของเขา บนโขดหินที่เย็นเฉียบใต้ร่าง กลายเป็นความเย็นที่ตัดกับไอร้อนระอุจากเรือนกายของกันและกัน แสงจันทร์ทอดผ่านเส้นผมสีทองสุกสว่างราวแสงตะวันฉายของเธอเกิดเป็นออร่าที่เปล่งประกายเปล่งปลั่ง ผิวขาวเนียนละเอียดหอมหวานจากมวลกุหลาบก็พลันสั่นสะท้านเมื่อเขาโน้มตัวลง จูบไหล่ ไล่ลงถึงแอ่งเนื้อเหนือทรวงอกอวบงามที่เทพธิดาไม่คิดจะปัดป้องแหนหวง
อโฟรไดท์ครางครวญแผ่วเบา — ที่ไม่ใช่เพราะความเจ็บแค้นเจ็บปวด แต่ด้วยความอิ่มเอมในทุกสัมผัสที่เขามอบให้ ชายไพรที่กำลังสัมผัสลูบไล้เธออย่างคนที่คลั่งไคล้แต่ก็ไม่เร่งรีบ ปลายนิ้วของเขาไล้ผ่านสะโพก ลูบไล้แนวโค้งแนวเว้าราวกับจะสำรวจและประทับตราไว้โดยกรายๆ อย่างอ่อนโยน ละเมียดละไม สะท้อนความรู้สึกลึกซึ้งที่ไม่ได้มีเพียงแค่ความปรารถนาชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็น…นิรันดร์
อโฟรไดท์กับผิวกายที่ชื้นเหงื่อ ผสานกลิ่นน้ำผึ้งจากน้ำอบแห่งสวรรค์ที่ยังอวลอยู่บางๆ ละอองน้ำจากธารสาดกระเซ็นมาโดนแผ่นหลังบอบบางของเธอเป็นบางครั้ง ทั้งเย็น ทั้งร้อน ทั้งหวาน ทั้งชวนให้ตกหล่นลงไปในห้วงของอารมณ์ที่ลึกเร้นไม่สิ้นสุด
รับรู้ถึงฝ่ามือกร้านใหญ่ของเขาที่สอดประสานเหนือฝ่ามือเล็กๆ บอบบางเธอไว้แน่น ขณะร่างกายของทั้งสองขยับเป็นจังหวะเดียวกัน — สอดประสานกันในจังหวะโบร่ำโบราณ จังหวะของความต้องการที่ไร้คำบรรยาย เสียงเนื้อกระทบกันสลับหนักสบฃลับเบา บ่งบอกถึงแรงปรารถนาของพวกเขาที่ปนเปกับเสียงหอบหายใจและเสียงกระซิบแผ่วเบาของใบไม้ที่เสียดสีเหนือศีรษะราวจะเป็นประจักษ์พยาน
ทุกครั้งที่เขาขยับ เธอจะกระชับแขนกอดก่ายเขาไว้แน่น เซไทร์ตอบกลับด้วยแรงโอบที่อบอุ่น ราวกับจะกลืนเธอให้หายไปในตัวเขาเอง ทุกจูบที่เขามอบให้ — ขมับ คอ ทรวงอก สะโพก ไม่เว้นแม้แต่ผืนที่วีนัสอันอ่อนนุ่ม ฉ่ำหวานเปล่าเปลือยของเธอ — ล้วนเต็มไปด้วยร่องรอยกลีบกุหลาบแห่งแรงอารมณ์ และความรู้สึกที่กักเก็บเอาไว้จนปริ่มล้น
ท้ายที่สุด ทั้งคู่ก็ค่อยๆ หยุดนิ่งท่ามกลางเสียงหอบหายใจที่เริ่มเบาลง หยาดเหงื่อประดับผิวทั้งสองสะท้อนแสงจันทร์เหมือนหยาดน้ำค้างบนใบไม้ยามรุ่งอรุณ พวกเขานิ่งงัน อโฟรไดท์ซบใบหน้าอิ่มเอมลงกับแผ่นอกอันใหญ่โตสีแทนเข้มของเขา และโดยไม่มีใครต้องเอ่ยคำใด ความเงียบที่ตามมาไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน ราวกับสรรพสิ่งรอบตัวได้หยุดหายใจพร้อมกับพวกเขา
เซไทร์ใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมเปียกชื่นเหงื่อแห่งแรงรักออกจากใบหน้าเธอ
“ข้าไม่เคยต้องการใคร... เท่าที่ข้าต้องการเจ้า อโฟรไดท์”
อโฟรไดท์สบตาเขา — ดวงตาสีฟ้าอำพันที่เคยวาววับด้วยความเบื่อหน่าย บัดนี้กลับสั่นระริกด้วยบางอย่างที่เธอเองก็ไม่เคยรู้จัก
“และข้าไม่เคยรู้ว่า... ความปรารถนาอย่างแท้จริง ไม่ได้เกิดจากรูปลักษณ์... แต่จากสัมผัส”
เธอวางมือนุ่มบางลงบนหน้าอกแผ่นกว้างของเขา รับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่สื่อสารกันโดยไม่ต้องใช้คำพูดมากมายมาอธิบายสิ่งที่พวกเขาสัมผัส
เวลาผ่านไปนานเพียงใดไม่มีใครรู้ แสงจันทร์เคลื่อนคล้อยช้าๆ เหนือยอดไม้ เธอนั่งพิงอกกว้างของเขาในความเงียบอันสุนทรีย์ นิ้วมือเขาวาดลายบนแผ่นหลังเธอเบาๆ เหมือนจะจดจำทุกตารางนิ้วไว้ในใจ
แม้จะเบื่อหน่าย แต่อโฟรไดท์ก็ไม่อาจละเว้นฐานะหน้าที่
เมื่อถึงเวลาต้องแยกจากกัน อโฟรไดท์โน้มตัวลงจูบหน้าผากเขา — จูบที่ไม่ใช่ไฟราคะ แต่เต็มไปด้วยคำสัญญา
“แม้ข้าจะต้องกลับไปสู่โอลิมปัส แม้เจ้าจะยังต้องพิทักษ์ผืนป่าแห่งนี้... แต่เราทั้งสองก็ต่างรู้ดี ในทุกหยาดลมที่พัดผ่านใบไม้... ข้าจะอยู่ตรงนั้น”
เซไทร์ไม่ตอบ เขาเพียงแค่ยิ้ม และยื่นสายสร้อยเส้นหนึ่งที่ทำจากเถาวัลย์พันกับคริสตัลสีเขียวเข้ม — แสงในคริสตัลส่องวาบเมื่อสัมผัสผิวเธอ
“เมื่อใดที่เจ้าคิดถึงข้า... ให้สายลมพัดมัน ข้าจะรู้”
“ใช่… ข้ารู้ดีว่าเจ้าจะรับรู้” อโฟรไดท์มองเขาครู่หนึ่ง แล้วจึงหมุนตัวจากไป
ร่างเปลือยเปล่าของเทพีแห่งรักยามเดินผ่านผืนป่าไม่ต่างจากแสงจันทร์ที่เลื่อนลอยอยู่เหนือสายน้ำ — งดงาม เศร้า และลึกล้ำ
เมื่อเธอหันกลับไปอีกครั้ง — เซไทร์ยังยืนอยู่ที่เดิม ร่างสูงใหญ่ถูกโอบล้อมด้วยเงาไม้ ใบหน้าเขาซ่อนอยู่ในความมืด แต่เธอรู้ว่าเขากำลังยิ้ม — ยิ้มแบบเดียวกับเธอ... ที่มุมปากที่อ่านออกไม่ได้ว่าอิ่มเอมใจ หรืออาลัยอาวรณ์
และในแววตาของเทพีผู้เคยเบื่อหน่ายโลกทั้งใบ บัดนี้มีแสงแห่งเปลวไฟที่ส่องสว่าง — แสงของความรู้สึกที่เพิ่งถือกำเนิดในค่ำคืนนั้น ณ ป่าต้องห้าม … ชั่วนิรันดร์
(นิยายจะมีตอนพิเศษ ที่คุณจะหาอ่านได้ในแบบฉบับ EBook ที่เดียว!)
— จบบริบูรณ์ —