เงียบ... เงียบจนเสียงหัวใจดูจะดังกว่าธารน้ำที่ไหลเอื่อยในบ่อศักดิ์สิทธิ์
เงียบจนแม้เสียงใบไม้กระทบกันเบาๆ บนยอดไม้สูง ก็ดังชัดในอากาศอันเปียกชื้น
เงียบ...แต่ไม่ว่างเปล่า
มันเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ยังคงพันธนาอยู่ระหว่างสายตาของเทพีและผู้พิทักษ์
อโฟรไดท์ยืนนิ่งกลางแสงจันทร์ที่ปะทะร่างอย่างไม่ปรานี พรายน้ำยังคงเกาะพราวบนผิวกายเนียนละมุนของเธอ ลมค่ำคืนแผ่วผ่านผิวเป็นริ้วบาง แซมกลิ่นหอมของดอกไม้ป่าที่บานเฉพาะในยามวิกาล อวลคลุ้งกับกลิ่นน้ำแร่บริสุทธิ์—กลิ่นที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกลูบไล้ด้วยนิ้วมือที่มองไม่เห็น
ดรูอิดยังคงยืนนิ่ง แต่สายตาเขาเปลี่ยนไปแล้ว
ไม่ใช่แค่ความดุดัน ไม่ใช่แค่ความไม่พอใจในคำท้าทายของเธอ
มันคือความสับสนที่ปะปนอยู่กับความร้อนแรงในระดับที่แม้เปลวไฟก็ยังดูเย็นเฉียบ
อโฟรไดท์ก้าวขึ้นจากบ่อ เท้าเปล่าของเธอสัมผัสพื้นหินเย็นเยียบ ก่อนเหยียบลงบนมอสเขียวที่แน่นนุ่ม ราวกับผืนพรมที่ยื่นรับเธออย่างเคารพ เธอหยุดอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่ก้าว สายตายังไม่ลดละ
"เจ้าเฝ้าป่ามานานเท่าใดแล้ว... ดรูอิด?"
เสียงเธอนุ่มดั่งสายลมที่พัดผ่านทุ่งลาเวนเดอร์ เสียงที่เหมือนจะปลอบประโลม แต่แฝงความเย้ายวนอยู่ลึกในชั้นเสียง
"นานพอที่จะเห็นสิ่งงดงามร่วงโรย..."
เขาตอบช้าๆ ดวงตาคมกริบยังจ้องลึกเข้ามาในเธอ "และนานพอที่จะเรียนรู้ว่า…ไม่ใช่ทุกสิ่งที่งดงามจะควรถูกแตะต้อง"
“งดงามหรือ?” เธอหัวเราะเบา เสียงนั้นราวกับระลอกคลื่นสะท้อนผนังถ้ำหิน “เจ้าพูดถึงข้า หรือพูดถึงป่าแห่งนี้?”
ดรูอิดไม่ตอบทันที เขาเพียงหลับตา สูดลมหายใจช้าๆ กลิ่นหอมจากกายเธอลอยปะปนเข้ามา กลิ่นที่ต่างจากกลิ่นดอกไม้ป่า—เป็นกลิ่นที่หวานลึก เย้ายวน และซับซ้อนราวกับน้ำผึ้งป่าเคล้าใบมินต์ที่อุ่นด้วยไฟกลางคืน
"ทั้งสอง" เขากล่าวในที่สุด "และทั้งสองก็ล่อแหลมพอๆ กัน..."
ความเงียบโรยตัวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เต็มไปด้วยบางสิ่งที่แน่นข้นและร้อนจัด—ราวไอน้ำที่ระเหยจากหินอุ่นในราวป่าหลังฝน
อโฟรไดท์ขยับเข้าไปใกล้อีกหนึ่งก้าว ใกล้พอที่กลิ่นกายของเธอจะกลืนกลิ่นดินในลมหายใจเขา ใกล้พอที่ไออุ่นจากกายเปลือยของเธอจะแทรกเข้าใต้ผ้าคลุมของเขา
"เจ้าปกป้องความบริสุทธิ์... แล้วใยเจ้าจึงกลัวที่จะยอมรับความปรารถนา?"
มือของเธอยื่นออกไป ปลายนิ้วแตะที่ข้อมือของเขาเพียงเบา—แต่กลับราวกับอักขระโบราณถูกปลุกให้เรืองแสง สัมผัสนั้นส่งผ่านความรู้สึกบางอย่างเข้าไปในเส้นเลือดของดรูอิด
เขาหลุบตาลง... กล้ามเนื้อขากรรไกรกระตุกเบา เขากำมือแน่น พยายามตรึงสติตนไว้กับผืนดิน ทว่าแรงต้านจากร่างกายกลับทรยศ
อโฟรไดท์ก้าวเข้ามาใกล้อีกครั้ง เธออยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ห่างกันเพียงลมหายใจ—แผ่นอกของเขากับยอดอกเปลือยเปล่าของเธอแทบจะสัมผัสกัน เธอเงยหน้าขึ้น... แววตานั้นนุ่มนวลอย่างที่ไม่เคยปรากฏบนโอลิมปัส
“เจ้ารู้หรือไม่... ความงามไม่ใช่ศัตรูของความบริสุทธิ์—หากแต่เป็นกระจกสะท้อน ความจริงในหัวใจมนุษย์”
ออตมุสเงยหน้ามองเธอ—ชั่วขณะหนึ่ง ความแข็งกร้าวในดวงตาเขามลายหาย เหลือเพียงแววของชายผู้เหนื่อยล้า ชายผู้กดกลั้นแรงปรารถนามาทั้งชีวิตเพื่อแลกกับการพิทักษ์บางสิ่งที่ไม่อาจจับต้อง
มือเขาเอื้อมออกไปช้าๆ สัมผัสปลายนิ้วเธอ
สัมผัสนั้น—อุ่น ละมุน และทรงพลังในแบบที่ไม่มีมนตราใดเทียบได้
พวกเขาไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่มีคำใดจำเป็นอีกแล้ว
มีเพียงการเคลื่อนไหวที่ค่อยๆ ร้อยรัดกัน...
เสียงลมหายใจที่หนักขึ้นอย่างช้าๆ
เสียงผิวเนื้อที่แตะกันเบาๆ
เสียงลมหายใจของป่า ที่กลั้นไว้ราวกับเกรงใจ
กลิ่นกายของทั้งสองหลอมรวมในอากาศ กลิ่นดอกไม้และสมุนไพรเข้ากันกับกลิ่นเกลืออ่อนของผิวเปียกน้ำ
ไออุ่นจากร่างสู่ร่าง... นิ้วที่ไล้ไปตามสันหลัง นิ้วที่สัมผัสบ่าแข็งแรง
ริมฝีปากที่ยังไม่แตะ แต่เข้าใกล้จนไอร้อนปะทะกันราวเปลวไฟซ้อนเปลวไฟ
อโฟรไดท์หลับตา เธอรู้สึกถึงชีพจรของเขาที่เต้นรัวใต้ปลายนิ้ว
ออตมุสดรูอิดโน้มหน้าลงต่ำ—ลมหายใจเขาแตะริมฝีปากเธออย่างแผ่วเบา
—ทว่าเขาหยุด... หยุดเพียงคืบเดียวก่อนจุมพิตแรกจะเกิดขึ้น
“ไม่... ข้าจะไม่ปลดปล่อยมันที่นี่” เสียงเขาแตกพร่า ดุดันปนสั่นเครือ “หากเจ้าต้องการ... จงเดินเคียงข้า เข้าสู่หัวใจของป่าจริงๆ... ที่ที่แม้เทพก็ยังมิอาจปลอมแปลงความปรารถนาได้”
อโฟรไดท์ลืมตา เธอจ้องเขานิ่ง แล้วพยักหน้าเพียงเล็กน้อย—ทว่ามันลึกซึ้งเกินคำใดจะบรรยาย
ค่ำคืนนี้ยังไม่สิ้นสุด
มันเพิ่งเริ่มต้น... บนเส้นทางที่ลึกเข้าไปในป่า
และลึกลงไปในหัวใจของกันและกัน
—จบบทที่ 2—
ตอนที่ 3: รุ่งอรุณแห่งเพลิงพิศวาส ณ บ่อน้ำพุจันทรา
พวกเขาเดินเคียงข้างกันในความเงียบของราตรี ดวงจันทร์เบื้องบนลอยเด่นในฟากฟ้า ม่านหมอกบางๆ ไหลรินผ่านแสงสีเงินที่รินรดเส้นทางในผืนป่า—ราวเทพีแห่งรัตติกาลกำลังโปรยแสงอวยพรให้แก่ผู้ที่กำลังจะหลอมรวมดวงวิญญาณเข้าด้วยกัน
เท้าเปล่าของอโฟรไดท์เหยียบย่ำผืนมอสที่เปียกชื้นจากหยาดน้ำค้าง ดอกไม้ป่าขนาดเล็กเบ่งบานแทรกขึ้นจากซอกหิน แมลงกลางคืนบินวนรอบแสงจันทร์ กลิ่นดินชื้น สะระแหน่ และใบไม้สดบดขยี้ใต้ฝ่าเท้า หลอมรวมกลิ่นอายแห่งธรรมชาติที่ปลุกเร้าทุกสัมผัส
เสียงลำธารค่อยๆ ดังใกล้เข้ามา
และในที่สุด… พวกเขาก็มาถึง
บ่อน้ำพุจันทรา ซ่อนตัวอยู่ในโพรงลึกของผาหินโบราณ—แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สว่างเรืองรองจากแร่ใต้พื้นดิน ผิวน้ำสะท้อนจันทร์เต็มดวงดั่งกระจกเวทมนตร์ ผิวน้ำสั่นไหวเบาๆ เมื่อหมอกไออุ่นจากบ่อพวยพุ่งรอบตัว
อโฟรไดท์หยุดยืนริมขอบบ่อน้ำ สายลมเย็นกระทบผิวกายที่ยังเปลือยเปล่า เธอหันกลับมามองดรูอิด—ในดวงตาคู่นั้น มีทั้งคำถามและคำเชื้อเชิญ… แต่ไร้เสียงใดหลุดออกมา
เขาเดินเข้ามาหาเธอช้าๆ ก้าวของเขาหนักแน่นและมั่นคง แต่แววตานั้นกลับร้อนแรง ราวจะเผาผลาญม่านหมอกรอบตัวให้หายสิ้น
ในที่สุด… เขายื่นมือออกมา สัมผัสแผ่วเบาบนใบหน้าของเธอ ปลายนิ้วหยาบของชายผู้ผ่านคืนฝนและเปลวเพลิง ลูบไล้ผิวแก้มที่นุ่มละมุนดั่งกลีบกุหลาบแรกแย้ม
อโฟรไดท์หลับตาเอนตัวแนบมือตามสัญชาตญาณ ความเย็นจากน้ำค้างบนผิวของเขาปะทะกับความร้อนในกายของเธอ เกิดเป็นแรงสั่นสะท้านในอก สะท้อนลงถึงหัวใจ
เขาโน้มตัวลง จูบริมฝีปากเธออย่างช้าๆ —สัมผัสแรกที่รอคอยมานานราวศตวรรษ
รสจูบไม่เร่งเร้า แต่วาบหวาม เขาแนบแน่นขึ้นเมื่อเธอเผยอรับ ริมฝีปากบดเบา สลับจังหวะ เสียงหายใจสั่นระริกประสานกันจนยากจะแยกเสียงของใครเป็นของใคร
มือของเขาลูบไล้จากซอกคอไล่ลงตามแผ่นหลัง มือหนาแน่นกระชับโอบร่างเธอเข้าหา อกเปลือยเปล่าของเธอแนบอกเปลือยของเขา—ความร้อนแรงจากร่างกายของทั้งสองต้านลมหนาวแห่งราตรีได้อย่างน่าอัศจรรย์
เสียงครางต่ำ… เสียงถอนหายใจสั้น เสียงจูบแนบแน่นดังสลับเสียงน้ำไหล เสียงธรรมชาติเงียบลงราวทั้งป่ากำลังกลั้นลมหายใจเพื่อเปิดทางให้เพลิงพิศวาสได้ลุกโชน
อโฟรไดท์ดันเขาลงสู่บ่อน้ำช้าๆ
สายน้ำอุ่นโอบล้อมร่างทั้งคู่ ขณะที่แสงจันทร์สะท้อนระยับบนผิวเปียก ปอยผมสีทองของเธอลอยรอบไหล่ดั่งเถาวัลย์ทองคำที่พันเกี่ยวไหล่เขาไว้
พวกเขาแนบชิดกันใต้ผิวน้ำ—นิ้วของเธอลูบผ่านกล้ามเนื้อแน่นที่ตึงเครียดของเขา ขณะที่เขาซุกใบหน้าไว้ที่ไหล่ของเธอ สัมผัสริมฝีปากลงบนผิวกายเปลือยทุกตารางนิ้วด้วยแรงโหยหาและยำเกรง
พวกเขาระเบิดออกมา—ด้วยจังหวะที่เร่าร้อน แรงสั่นไหวของผืนน้ำ กระเพื่อมไปตามแรงเคลื่อนไหว ราวกับดวงจันทร์เบื้องบนสะท้อนอารมณ์ของพวกเขาผ่านผิวน้ำ
ทุกจูบ… ทุกสัมผัส… กลายเป็นบทกวีที่เปล่งเสียงผ่านผิวหนัง
ทุกลมหายใจที่กระชาก ทุกเสียงครางที่ปล่อยผ่านริมฝีปาก เป็นร่ายมนตร์ที่ไม่มีเทพใดจะขัดขวาง
เวลาผ่านไป… ไม่อาจนับชั่วโมงจากดวงดาว แต่จากอาการหอบเบา เสียงลมหายใจที่ยังไม่เรียบ เสียงน้ำไหลที่กลับมากระทบผิวน้ำเงียบๆ แทนเสียงกายปะทะ
อโฟรไดท์เอนตัวพิงเขาในน้ำ
ออตมุสดรูอิดโอบเธอไว้แน่นในอ้อมแขน อ้อมกอดของผู้พิทักษ์ ที่แปรเปลี่ยนจากกำแพงเป็นอ้อมอก
“ข้ารู้สึก…” เขาเอ่ย เสียงของเขาไม่ดุดันอีกต่อไป แต่นุ่มลึกเหมือนไม้เก่าที่ผ่านไฟ
“รู้สึกอะไร?” เธอถามเบาๆ ปลายนิ้วลากวนบนอกเขาอย่างไร้แบบแผน
“ราวกับเจ้าหลอมละลายกำแพงทั้งหมดของข้า…”
“และเปลี่ยนข้า… ให้กลายเป็นบางสิ่งที่อ่อนโยนขึ้นโดยไม่รู้ตัว”
เธอหลับตา… แล้วพูดเบาๆ ใกล้หูเขา “และข้ารู้สึกว่า… ข้าหยุดวิ่งแล้ว”
เขาขยับมองหน้าเธอ
“จากอะไร?”
“จากความเบื่อหน่าย… จากความว่างเปล่าของโลกเทพ…” เธอยิ้มบาง “จากสิ่งที่ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามกับข้า เพราะข้าคืออโฟรไดท์”
เขายิ้มตอบ—ยิ้มที่เธอไม่เคยเห็นบนใบหน้าเขา
เป็นยิ้มที่ไม่ใช่เพราะความสวยของเธอ ไม่ใช่เพราะชื่อเสียง หรือความเป็นเทพี
แต่เป็นรอยยิ้มจากใครบางคน… ที่มองเห็น “เธอ” จริงๆ
เมื่อรุ่งอรุณเริ่มแตะแนวทิวเขา เสียงนกป่าร้องต้อนรับแสงแรกของวันใหม่ อโฟรไดท์ก้าวขึ้นจากบ่อน้ำ ชายผมทองยาวเปียกแนบแผ่นหลัง น้ำเกาะตามสันหลังอย่างเงียบงาม เธอหันกลับไปมองดรูอิดที่ยังยืนอยู่ในบ่อน้ำ ร่างกายเขาเปลือยเปล่าท้าทายแสงรุ่งเช้า ราวรูปปั้นโบราณที่ยังมีชีวิต
“เราต้องแยกจากกัน… จริงหรือ?” เธอถามเสียงเบา ดวงตาสะท้อนแสงอรุณที่เริ่มฉาบผืนฟ้า
“เทพี… ข้าผูกพันกับผืนป่านี้” เขากล่าวเรียบ “และเจ้าผูกพันกับฟากฟ้า”
เธอพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินกลับไปหาเขา
ริมฝีปากแนบกันอีกครั้ง… เบากว่าครั้งไหนๆ แต่ลึกซึ้งยิ่งกว่า
“แม้เราต้องแยกกัน… ข้าจะเก็บคืนคืนนี้ไว้ในหัวใจ” เธอเอ่ย
“และข้าจะไม่ลืมสัมผัสของเจ้าในน้ำจันทรานี้… แม้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม”
เขาส่งไม้เล็กๆ แกะสลักเป็นรูปเถาวัลย์ให้เธอ เป็นของจากป่า
เธอจุมพิตมันเบาๆ ก่อนเก็บแนบอก แล้วหันหลังเดินหายเข้าในม่านหมอก
แสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องผ่านปลายยอดไม้
ดรูอิดยังคงยืนนิ่ง—ริมบ่อน้ำ
สายตาเขาเฝ้ามองจุดสุดท้ายที่เธอหายไป
ในแสงเช้านั้น เขายิ้มออกมาเล็กน้อย—เศร้า งดงาม และอบอุ่น