ตอนที่ 1: เสียงขลุ่ยในรุ่งอรุณแห่งความเย้ายวน
หมอกบางลอยอ้อยอิ่งเหนือผืนดินยามอรุณ แสงแดดแรกของวันรินรดผ่านยอดไม้หนาทึบเป็นริ้วละมุน ราวกับมือของเทพีอรุโณทัยกำลังลูบไล้ยอดหญ้าและกลีบดอกไม้ในป่าโบราณแห่งนี้ เสียงนกป่าขับขานบทเพลงรับแสงเช้า ผสมกับเสียงแมลงที่คลอเคลียอยู่ใต้พงหญ้า กลิ่นดินชื้นอันหอมละมุนเจือด้วยกลิ่นดอกไม้ป่าที่เพิ่งบานเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน ลอยอบอวลอยู่ในอากาศอย่างแผ่วเบา
ตรงกลางทุ่งหญ้าซึ่งโอบล้อมด้วยไม้สูงอายุ อโฟรไดท์ยืนอยู่ในร่างของหญิงสาวสามัญผู้หนึ่ง—หากแต่งดงามเกินกว่ามนุษย์ใดจะเทียบเคียงได้ เรือนผมทองยาวสลวยของเธอเปล่งประกายแสงสีอ่อนราวกับรวบแสงสุรีย์ไว้ภายใน ดวงตาสีฟ้าอำพันจับแสงในลักษณะที่แทบจะสะท้อนภาพของสวรรค์ทั้งปวงได้จากเพียงการเหลือบมอง ผิวขาวเนียนราวน้ำนมใต้แสงจันทร์ดูเปล่งปลั่งยิ่งขึ้นเมื่อต้องกับไอแดดอุ่นยามเช้า
เท้าของเธอเปลือยเปล่า สัมผัสกับหยาดน้ำค้างที่ยังไม่ทันเหือดแห้งจากหญ้ารกนุ่ม ความเย็นซ่านผ่านฝ่าเท้าเข้าไปยังส้นและข้อเท้า แต่กลับมิใช่ความไม่สบาย หากเป็นความเย็นที่ปลุกให้เลือดในร่างกายเคลื่อนไหว อโฟรไดท์หลับตาลงชั่วครู่ สูดลมหายใจลึก กลิ่นสดชื่นของป่าทำให้เธอรู้สึกเหมือนหลุดออกจากกรอบของโอลิมปัสอย่างแท้จริง
แล้วในความเงียบอันรื่นรมย์ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น—เสียงขลุ่ย
ไม่ใช่เพียงเสียงดนตรีธรรมดา แต่มันมีชีวิต มีเสน่ห์ และความเย้ายวนที่ไม่อาจมองข้าม เสียงนั้นลอดผ่านหมู่ไม้และลมเช้า ราวกับสายน้ำที่ไหลผ่านช่องเขา—เสนาะหู แฝงความลึกลับ และเต็มไปด้วยความรื่นเริง มันสอดแทรกเข้าไปในเส้นเลือดของเทพี เสียดแทงในความรู้สึก ละลายความเย่อหยิ่งอันแสนงามของเธอลงอย่างเชื่องช้า
หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย อโฟรไดท์เอียงหูตามเสียงนั้น ความอยากรู้อยากเห็นบวกกับแรงดึงดูดที่อธิบายไม่ได้ทำให้เธอเริ่มก้าวเดินตามเสียงขลุ่ยอย่างไม่ลังเล ใบไม้สั่นไหวเมื่อชายกระโปรงของเธอลูบไล้ผ่าน ลมเช้าพัดกลิ่นกายหอมละมุนของเธอปะปนไปกับกลิ่นไม้และยางไม้โบราณ
เสียงขลุ่ยใกล้ขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งเมื่อเธอก้าวพ้นแนวพุ่มไม้สุดท้าย อโฟรไดท์ก็ได้พบกับภาพที่ทำให้ต้องหยุดหายใจเพียงครู่
ชายหนุ่มรูปงามนั่งอยู่บนโขดหินขนาดใหญ่กลางลานเล็กๆ ที่แวดล้อมด้วยไม้ใหญ่และไม้เลื้อย รูปร่างของเขาครึ่งบนเป็นชายหนุ่มเปลือยอก กล้ามเนื้อแน่นกำยำมีผิวสีทองแดงเรื่อจากแสงแดด ครึ่งล่างของเขาคือแพะ—ขนหยาบสีเข้ม ขาแข็งแรงอย่างสัตว์ป่าพร้อมกีบแกร่งที่ยืนมั่นบนหิน ริมฝีปากหนาโค้งยิ้มอย่างร่าเริงขณะเป่าขลุ่ย ดวงตาสีน้ำตาลอบอุ่นเป็นประกายเหมือนช็อกโกแลตร้อนในฤดูหนาว ผมหยิกยาวยุ่งเหยิงประดับด้วยใบไม้และดอกไม้เล็กๆ คล้ายจะเติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติ
เมื่อเธอก้าวออกจากเงาไม้ รอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็ผุดขึ้น ราวกับรู้ว่าเธอจะมาถึง เขายังคงเป่าขลุ่ยต่ออีกครู่—แล้วจึงค่อยๆ ลดมือลง เสียงสุดท้ายของขลุ่ยค่อยๆ จางลงไปในสายลม
“ข้ารู้ว่าเสียงขลุ่ยของข้าจะดึงใครสักคนมาได้” เขากล่าวอย่างหยอกเย้า เสียงของเขาหนักแน่น แต่แฝงความขี้เล่นราวเสียงของทุ่งหญ้าที่กำลังหัวเราะ
“แต่ข้ามิคิดเลยว่าจะเป็นเจ้า...อโฟรไดท์ เทพีผู้สูงศักดิ์แห่งโอลิมปัส”
ดวงตาเธอหรี่มองเขาอย่างท้าทายแต่ก็เปี่ยมเสน่ห์
“เจ้าเรียกข้าด้วยเสียงเพลง แล้วข้าก็มาตามเสียงนั้น” เธอตอบ น้ำเสียงนุ่มลึกแต่แฝงด้วยประกายเย้า “หรือว่าเจ้าหวังให้เทพีผ่านมาชมความหล่อเหลาในยามเช้า?”
เสียงหัวเราะของเขาดังก้องเบาๆ ในป่า เขาลุกขึ้นช้าๆ ความสูงของเขาทำให้เธอต้องเงยหน้าเพียงเล็กน้อย ร่างกายของเขามีกลิ่นเฉพาะตัว—กลิ่นของใบไม้แห้ง ยางไม้เก่า และเหงื่ออุ่นจางๆ ที่แทรกอยู่ในทุกอณูอากาศรอบกาย
“บางที...ข้าก็หวังเช่นนั้น” เขาเอ่ย ดวงตาจับจ้องเธอไม่วางราวกับประเมินลมหายใจทุกครั้งของเธอได้ “แต่เจ้าก็สวยกว่าที่ข้าจินตนาการไว้เสียอีก”
ลมโชยอ่อนผ่านหมู่ไม้ ใบไม้ไหวลู่ดั่งปรบมือต้อนรับบทสนทนาอันเปี่ยมแรงดึงดูด เส้นผมทองของอโฟรไดท์ปลิวแนบแก้มอย่างอ่อนโยน แสงแดดลอดผ่านพุ่มไม้กระทบเรือนร่างของเธอ จนเห็นประกายระยิบระยับบนผิวที่เนียนละมุนเหมือนผิวดอกไม้ที่ยังเปียกน้ำค้าง
แพนขยับเข้าใกล้เพียงครึ่งก้าว เสียงฝีเท้าของเขาดังแผ่วบนหญ้านุ่ม กลิ่นของเขาชัดเจนยิ่งขึ้นจนเธอเผลอสูดลึกโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงแต่ก็ยังยิ้มตอบ
“เจ้าช่างรู้วิธีใช้เสียงขลุ่ย” เธอกล่าวเบาๆ ดวงตาไม่ละจากเขาแม้ชั่วพริบตา
“และเจ้า...ช่างรู้วิธีใช้ความงาม” เขาเอื้อมมือออกมาช้าๆ ไม่แตะต้อง แต่หยุดไว้ใกล้แก้มเธอพอให้ไออุ่นจากมือแตะต้องผิวเธอผ่านอากาศ
ในช่วงขณะนั้น โลกทั้งใบดูเหมือนจะหยุดหมุน เสียงนกร้องยังมี แต่แผ่วเบาราวลมหายใจ สายลมเหมือนหยุดนิ่งในวินาทีที่สายตาทั้งสองสบกันโดยไม่มีคำใดต้องกล่าว
นี่คือการพบกันของเทพสององค์—หนึ่งจากโอลิมปัส หนึ่งจากป่าเขา และสิ่งที่แผ่ซ่านอยู่ในอากาศ ไม่ใช่เพียงเสียงขลุ่ยหรือกลิ่นดอกไม้ แต่เป็นประกายของแรงดึงดูดอันเร่าร้อนที่ยังรอเวลาปะทุ...
—จบบทที่ 1—
ตอนที่ 2: เริงระบำแห่งความปรารถนาใต้เงาไม้
ผืนป่าโบราณเบื้องหน้าอบอวลด้วยกลิ่นอายแห่งเช้า กลิ่นดินชื้นปะปนกับกลิ่นหวานละมุนของดอกไม้ป่าที่กำลังเบ่งบาน แสงแดดลอดผ่านยอดไม้สูง ทอแสงเป็นลำสีทองที่ทอดแนบพื้นหญ้าอ่อนนุ่ม ใบไม้สั่นไหวตามแรงลมอ่อน ราวกับกำลังพึมพำทักทายเทพีที่เดินเคียงข้างผู้พิทักษ์แห่งป่า
แพนนำอโฟรไดท์ไปตามทางที่มีมอสคลุมหนานุ่มใต้เท้า ทุกย่างก้าวของเธอทิ้งรอยบนพื้นดินเปียก กลีบดอกไม้ที่ร่วงลงจากต้นไม้ใหญ่ลอยละลิ่วเหมือนพรมต้อนรับเฉพาะเธอ เสียงหัวเราะของทั้งสองก้องไปทั่วป่า มันไม่ใช่เสียงที่ดังเกินไป แต่แผ่วหวานจนใบไม้ต้องไหวเอนตาม
“ที่นี่… สดชื่นอย่างประหลาด” อโฟรไดท์เอ่ยเบาๆ ขณะสูดหายใจลึกจนอกอิ่มกระเพื่อม ใบหน้าเธอเปื้อนยิ้ม ริมฝีปากอ่อนนุ่มแตะแสงอาทิตย์จนเป็นประกายละมุน
“มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเจ้าได้เดินเท้าเปล่าบนแผ่นดินจริงๆ” แพนตอบ พลางแอบมองเรียวเท้าขาวเนียนที่สัมผัสหญ้าอย่างทะนุถนอม “โลกนี้ไม่ใช่เพียงภาพงาม แต่เป็นสิ่งที่สัมผัสได้… ดมกลิ่นได้… ลิ้มรสได้”
เขาไม่พูดเปล่า ยกมือขึ้นเบาๆ กลีบดอกไม้เริ่มหมุนวนในอากาศ ก่อนที่ฝูงผีเสื้อหลากสีจะโบยบินออกมาจากเถาวัลย์ลึกลับ บินวนรอบตัวอโฟรไดท์ เส้นผมสีทองของเธอสะบัดไหวช้าๆ ตามแรงปีกที่โบกเบา กลิ่นหอมของปีกผีเสื้ออวลตลบเคล้ากับกลิ่นผิวของเทพี สร้างกลิ่นเฉพาะที่ทำให้แพนถึงกับเผลอหลับตา สูดลมหายใจลึกด้วยความเคลิบเคลิ้ม
“เจ้าทำให้ผีเสื้อเต้นระบำได้งั้นหรือ?” อโฟรไดท์หันมาถาม ดวงตาเป็นประกายยามแสงลอดเข้ามา กระจกตาเธอสะท้อนภาพของป่ารอบตัวราวกับมีชีวิต
“หากข้าเอ่ยถ้อยคำกับดิน ต้นไม้ หรือผืนฟ้า พวกเขาก็จะฟัง” เขายื่นมือไปแตะเถาองุ่นเลื้อย เสียงดนตรีคล้ายเสียงขลุ่ยแว่วขึ้นเบาๆ ทันใดนั้น ผลองุ่นสีม่วงสดก็ไหวเบาๆ ก่อนหล่นลงมาอย่างนุ่มนวลบนฝ่ามือเขา “และมอบสิ่งที่หวานที่สุดให้เจ้า”
อโฟรไดท์รับผลองุ่นนั้นอย่างสนใจ ปลายนิ้วของเธอสัมผัสมือเขาเพียงเสี้ยววินาที แต่ไออุ่นกลับแล่นวาบผ่านผิวจนเธอเผลอกัดริมฝีปากเบาๆ จากนั้นเธอค่อยๆ ยกผลไม้ขึ้นแตะริมฝีปากสีชมพูอ่อน ลิ้นแตะที่ผิวเย็นฉ่ำก่อนจะขบกัดเบาๆ น้ำหวานจากองุ่นไหลหยดลงที่ปลายคาง เธอหัวเราะเบาๆ ใช้ปลายนิ้วโป้งเช็ดหยดน้ำออกอย่างยวนเย้า สายตาคู่หวานสีฟ้ากระจ่างไม่ละห่างจากใบหน้าของชายหนุ่มแม้แต่วินาทีเดียว
แพนกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจของเธอ และเสียงหัวใจของเขาเองที่เริ่มเต้นถี่ขึ้นทุกวินาที
ทั้งสองหยุดพักใกล้ลำธาร เสียงน้ำไหลชัดเจนขึ้นขณะพวกเขานั่งลงบนหินเรียบลื่นซึ่งเปียกเพียงเล็กน้อยจากละอองน้ำ เสียงนกร้องสลับเสียงใบไม้กระทบกันเบาๆ ขณะที่สายตาทั้งสองสบกันนานขึ้น
“เจ้ามีบางอย่างที่ข้าคาดไม่ถึง… ไม่ใช่แค่ความงาม” แพนพูดช้าๆ “แต่เป็นความเปล่งประกาย… ที่แม้แต่ดวงตะวันยามเช้าก็ยังอาย”
อโฟรไดท์แต้มรอยยิ้มไว้ที่มุมปาก ยกนิ้วขึ้นแตะหน้าอกเขาเบาๆ ใกล้หัวใจ “แล้วเจ้าก็มีบางอย่างที่ข้าไม่เคยสัมผัสในโอลิมปัส”
มือของเธอไม่ถอยห่าง ราวกับกลัวว่าหากละมือออก ความเชื่อมโยงนั้นจะหายไป นิ้วของแพนจึงเลื่อนมาทับมือเธออย่างแนบแน่น ความเงียบแผ่คลุมพวกเขาอีกครั้ง—แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ความเงียบแห่งความเก้อเขิน หากแต่เป็นเสียงเงียบแห่งความปรารถนาที่กำลังรอการระเบิดออก
แพนลุกขึ้นก่อน ยื่นมือให้เธอคว้าไว้ ดวงตาเขามีแววบางอย่างที่ลึกกว่าแสงหัวเราะเมื่อครู่ “มา... ให้ข้าแสดงการเต้นรำของป่าให้เจ้าดู”
ภายใต้เงาไม้หนาทึบ ที่ซึ่งแสงแดดลอดผ่านได้เพียงเป็นจุดเล็กๆ ทั่วพื้นดิน เขาพาเธอก้าวเข้าสู่ลานเล็กกลางป่าที่เต็มไปด้วยดอกไม้ป่า สีสันฉูดฉาดตัดกับความเขียวขจี เขาก้าวเข้าใกล้เธอ ปลายนิ้วสัมผัสแผ่วเบาที่เอวของเธอ ขณะมืออีกข้างจับมือของเธอไว้แน่น
พวกเขาเริ่มเต้นช้าๆ ไม่มีดนตรี ไม่มีคำสั่งสอน มีเพียงเสียงหัวใจของทั้งสองที่ค่อยๆ เข้าจังหวะกัน อโฟรไดท์หัวเราะอย่างปล่อยตัว เมื่อเขาหมุนเธอเบาๆ ชายผ้าคลุมเธอปลิวราวปีกนก ปลายเท้าแตะหญ้านุ่มทุกย่างก้าว เธอปล่อยให้ตัวเองไหลไปกับจังหวะและแรงนำพาของแพน
เสียงลมหายใจของพวกเขาเริ่มหนักขึ้น ความใกล้ชิดที่ทำให้ผิวสัมผัสผิว ร้อนขึ้นทีละน้อย... และเมื่อร่างของพวกเขาแนบชิดกันโดยไม่รู้ตัว แรงเต้นของหัวใจก็ดังขึ้นจนเหมือนเสียงตีกลองแห่งธรรมชาติ
เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้ ดวงตาหยุดที่ริมฝีปากของเธอ แต่ไม่ได้แตะต้อง เพียงลมหายใจที่แตะปลายจมูกนั้นก็ราวกับประกายไฟที่วิ่งผ่านกลางใจ
อโฟรไดท์หลับตาช้าๆ เงยหน้าขึ้นรับลมหายใจเขา สัมผัสถึงกลิ่นไม้แห้ง ดินแดนป่า และแรงดึงดูดที่ไม่อาจปฏิเสธได้
การเต้นรำในลานป่าจึงมิใช่เพียงร่างกายที่หมุนเวียน หากแต่เป็นจิตวิญญาณของทั้งสองที่เข้าหากัน ราวกับรอมาเนิ่นนาน
แสงสุดท้ายของวันเริ่มเอียงลง กลีบดอกไม้เริ่มร่วงลงจากฟ้า ลมพลิ้วพัดพากลีบดอกหมุนวนไปรอบคู่รักใต้เงาไม้
—จบบทที่ 2—
ตอนที่ 3: ทุ่งหญ้าแห่งรักและเพลิงพิศวาส
กลีบดอกไม้ยังคงปลิวล่องอยู่ในอากาศ ราวกับธรรมชาติทั้งป่าได้กลายเป็นสักขีพยานต่อแรงดึงดูดที่ไม่มีสิ่งใดต้านทานได้อีกต่อไป อโฟรไดท์อยู่ในอ้อมแขนของแพนแล้ว — ไม่ใช่เพียงร่างกาย หากแต่เป็นจิตใจของเธอด้วย ทุกลมหายใจ ทุกสัมผัส ทุกอณูของผิวพรรณถูกห้อมล้อมด้วยพลังงานบางอย่างที่เข้มข้นกว่าคำว่าเสน่หา
แพนจูบริมฝีปากเธออย่างแผ่วเบาในตอนแรก ริมฝีปากเขาอุ่นและหยาบเล็กน้อยจากชีวิตกลางป่า แต่นั่นคือสัมผัสที่แตกต่างจนเธอเผลอสั่นสะท้าน — ไม่ใช่ความเย็น หากแต่เป็นความรู้สึกลึกซึ้งเหมือนคลื่นใต้น้ำ เขาไล้ริมฝีปากไปตามแนวกรามของเธอ ก่อนจะกระซิบข้างหูด้วยเสียงพร่าที่แทบไม่ใช่เสียง “เจ้าทำให้ทุกสิ่งในป่ากระซิบชื่อเจ้า…”
มือเขาเลื่อนไปตามแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเธออย่างระมัดระวัง ปลายนิ้วของเขาทิ้งรอยไหวของไฟปรารถนาไว้บนผิวขาวนวลดุจหิมะของเทพี อโฟรไดท์เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาปรือครึ่งปิด หายใจถี่รัว มือเธอสอดเข้าในเรือนผมหยักศกของเขา ดึงเขาเข้ามาแนบชิดกว่าเดิม
พวกเขาเดินเคียงกันอย่างช้าๆ ข้ามลานป่าไปยังเนินหญ้ากว้างเบื้องหลังม่านไม้ ลมโชยพัดหญ้าเต้นรำเบาๆ ทั่วผืนดิน แสงอาทิตย์ตกกระทบยอดหญ้าเป็นสีทองอมเขียว ทุ่งหญ้าโบราณที่ยังไม่ถูกรุกล้ำ คือเวทีแห่งการหลอมรวม
อโฟรไดท์ล้มตัวลงนอนบนพื้นหญ้านุ่ม ลำต้นบางๆ ของหญ้าโอบรอบเรือนร่างเธออย่างแผ่วเบา แพนตามลงมาช้าๆ ดวงตาเขาจ้องมองเธอด้วยแรงปรารถนาและความเคารพปะปนกัน ราวกับเธอคือวิหารแห่งอารมณ์และปัญญา
แสงแดดลอดผ่านพุ่มไม้ ฉาบไล้ผิวเธอเป็นสีทองซีด ส่องประกายระยิบระยับเมื่อหยาดเหงื่อเริ่มกลั่นตัวเป็นหยดน้ำใส เธอขยับตัวช้าๆ แผ่นอกขยายขึ้นลงตามจังหวะหอบหายใจ
มือของแพนไล้ไปบนเรียวขาเธอช้าๆ จากข้อเท้า ไล่ขึ้นไปตามแนวโค้งของน่องและต้นขา เขาสัมผัสด้วยปลายนิ้วราวกับกลัวทำลายความงามนั้น ทั้งนุ่ม ทั้งแน่น ทั้งเปล่งประกายด้วยชีวิต อโฟรไดท์สั่นไหวใต้มือเขา ริมฝีปากเผยอ เธอครางเบาๆ เสียงนั้นหลอมรวมเข้ากับเสียงสายลม — ราวกับธรรมชาติกำลังร่วมร้องประสานเสียงแห่งความปรารถนา
เมื่อเขาโน้มตัวลงอีกครั้ง ร่างเปลือยเปล่าของเขาแนบกับเธอทุกอณู — ความร้อนจากร่างเขาผ่านเข้าสู่เธอ ราวกับเปลวไฟที่ไม่มีวันมอด เธอสัมผัสได้ถึงจังหวะของหัวใจเขาที่เต้นแรงบนอกแน่นแข็งของเขา จังหวะที่ทวีขึ้นในทุกวินาทีจนแทบไม่สามารถแยกได้ว่าคือเสียงของใคร
“เจ้า… สวยราวกับฤดูใบไม้ผลิแรกของโลก” เขากระซิบขณะจุมพิตลำคอเธอ ช้า… ลึก… และเต็มไปด้วยความอาลัยราวกับจะหายใจเธอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง
เสียงจูบ เสียงลมหายใจ และเสียงเนื้อแนบเนื้อ สะท้อนก้องในทุ่งหญ้าอย่างนุ่มนวล ไม่ใช่เสียงเร่าร้อนห่าม หากแต่เป็นเสียงของธรรมชาติที่ร้องเรียก ร้องเพลงแห่งการรวมเป็นหนึ่งเดียว กลีบดอกไม้ป่าปลิววนรอบร่างพวกเขาอย่างช้าๆ — กลีบสีม่วง กลีบสีชมพู กลีบสีทอง ราวกับป่าทั้งผืนกำลังร่วมพิธี
พวกเขาสัมผัสกันราวกับเรียนรู้ตัวตนอีกฝ่ายผ่านปลายนิ้ว ผ่านลมหายใจ ผ่านความสั่นสะท้านและการสั่นไหวที่มาจากภายใน สัมผัสที่ไม่ใช่เพียงร่างกาย แต่นำพาจิตวิญญาณให้ล่องลอยเหนือพื้นโลก
ร่างกายแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียว เคลื่อนไหวไปตามแรงจังหวะที่ทั้งดิบเถื่อนและอ่อนโยน ทุกจังหวะคือบทกวีแห่งความพิศวาส เสียงครางเบาๆ จากอโฟรไดท์หลุดจากริมฝีปาก ทุกคำ ทุกเสียง เป็นเสมือนบทสวดบูชาธรรมชาติ เสียงนั้นกลืนไปกับเสียงลมที่พัดผ่านต้นหญ้า เสียงใบไม้ที่ไหวพลิ้ว เสียงแมลงที่ร้องรับจังหวะ
เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อการเคลื่อนไหวสุดท้ายหยุดลง ทั้งสองนอนแนบกันอยู่ท่ามกลางหญ้า กลิ่นกายปะปนกลิ่นดอกไม้ป่าและกลิ่นดินชื้นจากธรรมชาติ อโฟรไดท์ซบหน้าลงบนอกเขา หูแนบกับจังหวะหัวใจนั้นที่ยังเต้นอย่างหนักแน่น เธอยิ้มอย่างที่ไม่เคยยิ้มแบบนั้นมาก่อน — ไม่ใช่ยิ้มแห่งชัยชนะ ไม่ใช่ยิ้มแห่งความงาม — แต่เป็นยิ้มแห่งความอิ่มเอม
“เจ้าทำให้ข้ารู้จักความอ่อนโยน... ที่ไม่ต้องแลกมาด้วยอำนาจ” เธอกระซิบเบาๆ
แพนโอบเธอแน่นขึ้น มือสางเส้นผมสีทองที่ยุ่งเหยิงจากลมและแรงปรารถนา “และเจ้าทำให้ข้ารู้ว่าแม้แต่ป่าโบราณ... ยังไม่งดงามเท่าเจ้าหากไม่มีเสียงหัวเราะนั้นเคียงข้าง”
ทั้งสองไม่พูดอะไรอีกต่อไป มีเพียงสายตาที่บ่งบอกทุกอย่าง พวกเขานอนนิ่งในทุ่งหญ้าให้ร่างกายสัมผัสผืนดิน ลมหายใจยังไม่ทันจาง กลับแทนที่ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ลึกกว่าความปรารถนา
—ความผูกพันที่ไม่ต้องใช้คำพูด—
แสงเย็นเริ่มทอดเงายาว ทุ่งหญ้ากลายเป็นสีทองอมส้ม ดอกหญ้าไหวเอนรับลม เงาร่างของแพนและอโฟรไดท์ทอดเคียงกันอยู่บนพื้น เขานั่งขึ้นช้าๆ หยิบขลุ่ยไม้เล็กๆ ที่ทำจากกิ่งองุ่นโบราณขึ้นมา แล้วเป่าเสียงท่วงทำนองแรกแห่งราตรี
อโฟรไดท์ทอดสายตามองเขานิ่งๆ ขณะเปลือกตาเธอเริ่มปิดลง รอยยิ้มยังแต่งแต้มที่มุมปาก แสงสุดท้ายของดวงตะวันส่องผ่านเส้นผมเธอเป็นประกาย เหมือนม่านทองที่โอบล้อมความลับของค่ำคืนนี้ไว้
—ราตรีที่ไม่มีคำว่าเสียดาย—
(นิยายจะมีตอนพิเศษ ที่คุณจะหาอ่านได้ในแบบฉบับ EBook ที่เดียว!)
— จบบริบูรณ์ —