เสียงน้ำตกกระแทกลงบนโขดหินดังก้องกังวานในอากาศ ราวกับหัวใจของใครบางคนที่กำลังเต้นถี่แรงด้วยแรงปรารถนาและการต่อต้านที่สั่นไหว
ละอองน้ำเย็นฉ่ำล่องลอยในอากาศบางเบา เกาะพราวตามผิวแก้มและไหล่เปลือยเปล่าของเทพีแห่งรัก ผิวขาวเนียนละเอียดของเธอเปล่งประกายราวกับต้องแสงจันทร์ แม้ในยามที่หมอกจางยังคลุมคลั่งรอบตัว ลมหายใจของเธอไหลเอื่อย สะท้อนแรงอารมณ์ที่กำลังปั่นป่วนอยู่ในกาย
วาสซาโกยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น—สูงใหญ่ดุจเงาไม้ดำทะมึนที่ไม่ไหวติง แม้ละอองน้ำจะซึมซับเข้าร่างของเขา แต่กลับไม่มีสิ่งใดสามารถลบเลือนความเย็นชาของสายตาคู่นั้นได้ มันจ้องมองมายังเธอ—แน่วแน่ ดุดัน เต็มไปด้วยคำถามและไฟที่คุกรุ่นใต้เถ้าธุลีแห่งอดีตกาล
“ข้าควรจะผลักเจ้ากลับขึ้นสวรรค์เสียตรงนี้” น้ำเสียงเขาต่ำ แหบพร่า คล้ายสายลมที่แทรกผ่านรอยแยกของหินแกร่ง “แต่ข้าไม่ทำ”
อโฟรไดท์ยืนนิ่ง สายตาไม่ไหวติงเช่นกัน ริมฝีปากของเธอคลี่ยิ้มอย่างอ่อนหวานแต่ไม่สิ้นพิษ ปลายนิ้วไล้ผ่านต้นแขนของตัวเองอย่างเชื่องช้า แผ่วเบาราวกับสัมผัสของกลีบกุหลาบกับน้ำค้างยามรุ่งสาง
“เพราะเจ้าทำไม่ได้ หรือเพราะเจ้า...ไม่อยากทำกันแน่?” เธอถามเสียงหวานคล้ายกล่อมกลืน อ่อนโยนแต่กรีดลึก
วาสซาโกไม่ตอบในทันที เขาก้าวเข้ามาอีกก้าว เสียงรองเท้าหนังของเขากระทบกับโขดหินเปียกดังกึก เสียงนั้นไม่ใช่แค่เสียงของการเคลื่อนไหว แต่มันคือเสียงของการยอมรับ...และความต้านทานที่แตกสลาย
“ที่ข้าเฝ้ามองอดีต อนาคต และทุกความลับของจักรวาล...” เขาเอ่ยช้าๆ ดวงตาลึกสีดำส่องประกายระยับเหมือนประกายโลหะต้องแสง “ข้ากลับไม่เคยเข้าใจสิ่งหนึ่ง...ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้—กับเจ้า”
อโฟรไดท์ขยับกายเล็กน้อย ร่างเปียกชื้นแนบแน่นกับผืนผ้าบางที่พันกายไว้เพียงลวกๆ แผ่นอกสะท้อนแสงน้ำเป็นประกายระยิบ เธอขยับเข้าไปใกล้อีกนิด จนแรงลมหายใจของเขาและเธอแทบจะผสานกันเป็นหนึ่งเดียว
“ความรู้สึกหรือ?” เธอพึมพำ พลางปล่อยนิ้วเรียวแตะริมชายเสื้อของเขาที่เปียกชื้น น้ำหนักเบาราวจะละลายผิวผ้า “เจ้าเคยรู้สึกหรือไม่—เมื่อดวงตาคู่นั้นมองข้าราวกับจะกลืนกิน”
เสียงน้ำตกกลายเป็นเพียงเสียงพื้นหลัง ม่านหมอกที่เคยลอยอ้อยอิ่งรอบกายพวกเขาเริ่มหมุนวนอย่างแผ่วเบา ความเงียบระหว่างทั้งคู่แน่นขนัด แต่ไม่ใช่ความเงียบว่างเปล่า—มันเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยออกมา
วาสซาโกยื่นมือออกมาอย่างช้า ๆ ปลายนิ้วแตะลงบนปอยผมทองที่แนบแก้มเธอ
สัมผัสนั้น—เย็น เคร่งขรึม ราวกับเปลวเพลิงที่คลุมด้วยเงาน้ำแข็ง
แต่เธอกลับเอียงแก้มแนบมือเขา เสมือนมันคือแหล่งความอบอุ่นที่เธอเฝ้าโหยหา
"เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือว่า...ทุกความลับของเจ้าคือคำเชิญที่ข้าปรารถนาจะเปิดเผย" อโฟรไดท์เอ่ยเสียงแผ่ว
เขาหลุบตามองต่ำ—ลงไปยังปลายนิ้วของเธอที่ยังไล้ผิวของเขาอยู่อย่างแผ่วเบา เธออยู่ใกล้จนกลิ่นกายผสานกันในอากาศ หวาน ร้อน และลึกลับเกินกว่าจะบรรยาย
"ความรักของเทพี...มันอันตรายกว่าคำสาปพันปี" เขากระซิบ
"แต่เจ้าก็ยังไม่หันหลังกลับ" เธอตอบกลับ พลางยกมืออีกข้างแตะหน้าท้องของเขาที่ตึงแน่นด้วยกล้ามเนื้อ—หยดน้ำเกาะพราวทำให้มันดูเหมือนหินชื้นที่ร้อนจัดจนระเหยเป็นไอ
ความเงียบกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเสียงลมหายใจที่หนักขึ้น
มือของวาสซาโกเลื่อนลงมาจับข้อมือเธอไว้แน่นกว่าเดิม ดวงตาคมเข้มสบลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าอำพันของเทพี
และในจังหวะหนึ่ง—พวกเขาต่างก็หยุดพูด
วินาทีถัดมาร่างของเทพีแห่งความรักก็แนบชิดกับอกของเจ้าชายแห่งนรก ปลายนิ้วของเขาไล้เส้นผมเธอราวกับสัมผัสไหมทอง ส่วนเธอเอียงหน้าขึ้น ปลายจมูกของทั้งสองเฉียดผ่านกันเพียงเสี้ยวลมหายใจ
ริมฝีปากของเขาไม่แตะต้องเธอ แต่ก็ใกล้จนความร้อนจากร่างกายสื่อสารกันในความเงียบ
เสียงน้ำตกไม่สามารถกลบเสียงหัวใจที่เต้นแรงในอกของทั้งคู่ได้อีกต่อไป
"เจ้า...กำลังหลอมละลายข้า" วาสซาโกพึมพำด้วยเสียงที่เขาเองก็แทบไม่รู้ว่ามันหลุดออกมาจากปากได้อย่างไร
อโฟรไดท์คลี่ยิ้ม แต้มรอยยิ้มไว้ที่มุมปากบางเฉียบ ราวกับรู้ดีว่าเธอทำอะไรลงไป
เธอขยับขึ้นอีกนิด—เพียงพอให้ริมฝีปากแตะผิวคางของเขาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงกระซิบที่แผ่วราวเสียงคลื่นกระทบหิน
“และเจ้ากำลังจุดไฟในใจข้า...ไฟที่ไม่เคยมีใครจุดมันได้มาก่อน”
ละอองน้ำจากน้ำตกสาดกระเซ็น กระทบร่างทั้งสองที่แนบแน่น พลังที่ไม่อาจอธิบายแผ่ขยายออกมารอบตัว ความลับที่ไม่เคยถูกเปิดเผยเริ่มเปิดออกทีละน้อย
แรงปรารถนาที่ถูกกักเก็บมาตลอดหลายศตวรรษ ท่วมท้นเอ่อล้นออกมาผ่านสายตา การแตะต้อง และลมหายใจ
...และในค่ำคืนอันเปียกชื้นของป่าต้องห้ามแห่งนี้
เทพีแห่งความรัก และเจ้าชายแห่งความมืด—
กำลังตกอยู่ในกระแสธารแห่งความปรารถนาอันไร้ทางถอย...
—จบบทตอนที่ 2—
เสียงน้ำตกยังคงก้องกังวานอยู่ในความเงียบงันที่โอบล้อมร่างของทั้งสองไว้ ไม่มีคำพูดใดถูกเอื้อนเอ่ยอีกต่อไป มีเพียงเสียงลมหายใจของเทพีแห่งรักและเจ้าชายแห่งความมืดที่สื่อสารถึงกัน ผ่านร่างกายที่แนบชิดและสายตาที่จ้องมองอย่างลึกล้ำจนราวกับกลืนกิน
ลมหายใจอุ่นของวาสซาโกเป่ารินรดแก้มขาวของอโฟรไดท์ เขายังคงกดข้อมือเธอไว้แน่นราวกับกลัวว่าเธอจะเลือนหายไปในละอองน้ำและแสงสลัวนั้น
เธอเองก็ไม่ถอยหนี ร่างกายเปลือยเปล่าใต้ผ้าคลุมบางเบาของเทพีชื้นแฉะจากไอละอองน้ำ ผ้าชิ้นนั้นแนบเนื้อจนเห็นเส้นโค้งทุกส่วน ผิวของเธอส่องประกายภายใต้แสงสลัวจากดวงจันทร์ที่ลอดผ่านซอกใบไม้ลงมา แต่งแต้มผิวเธอด้วยแสงเงินราวเทพธิดาในตำนานที่หลุดออกมาจากภาพวาดต้องห้าม
มือของเขาค่อย ๆ ไล้ขึ้นไปตามแขนเธออย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วหยาบและเย็นเฉียบเมื่อสัมผัสกับผิวอุ่นของเธอทำให้เธอสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ ความรู้สึกนั้นแล่นวาบผ่านไขสันหลัง ราวกับถูกกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน ละอองน้ำที่เกาะตามลำตัวของเธอรวมกับไอเย็นจากธรรมชาติ ทำให้ผิวกายของอโฟรไดท์พองขน แต่กลับยิ่งปลุกอารมณ์เร้าให้พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ
เสียงผ้าเลื่อนผ่านเนื้อผิวดังกึกก้องในความเงียบของค่ำคืน เขาค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมของเธอออกจากไหล่ ปลดปล่อยเรือนร่างอันงดงามที่เทพเจ้าทั้งหลายต่างหลงใหล แต่สำหรับเขา มันไม่ใช่แค่ความงาม... มันคือเพลิงอันหิวกระหายที่กำลังเผาผลาญสติและการควบคุมทุกอย่างของเขาไปอย่างช้า ๆ
ริมฝีปากของเขากดลงบนลำคอของเธอ—แผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน เสียงครางเบา ๆ หลุดออกจากลำคอของเทพี เธอเอียงหน้าให้เขาได้สัมผัสมากขึ้น ปลายนิ้วของเธอกรีดเบา ๆ บนอกเขา สัมผัสกล้ามเนื้อแน่นตึงใต้ผิวหนังของเจ้าชายแห่งนรกที่แกร่งและเย็นชาจนน่าหลงใหล
มืออีกข้างของเขากอบกุมสะโพกของเธอ ดึงเธอเข้ามาชิดแนบแน่นกว่าเดิม กลิ่นหอมของน้ำผึ้งและมะลิจากเรือนกายของเทพีลอยอบอวล ผสานเข้ากับกลิ่นดินเปียกและไม้ใบของป่าต้องห้าม กลายเป็นกลิ่นที่ทำให้เลือดในกายพลุ่งพล่านจนแทบควบคุมไม่ได้
ริมฝีปากของพวกเขาบรรจบกัน—ครั้งนี้ไม่มีการลังเล ไม่มีความอ่อนโยน เขาจูบเธออย่างรุนแรงและเร่าร้อน ราวกับชายที่กระหายน้ำมายาวนาน และในที่สุดก็พบโอเอซิสแห่งเดียวในนรก เขาดูดกลืนลมหายใจของเธอ—และเธอก็ปล่อยให้เขาทำ
เสียงน้ำตกดังอยู่เบื้องหลัง แต่กลับดูเงียบไปในพริบตาเมื่อเสียงลมหายใจ และเสียงครางต่ำที่ดังจากลำคอของวาสซาโกสอดประสานกับเสียงสะท้านจากลำคอของอโฟรไดท์
ปลายนิ้วของเธอสอดเข้าไปในเส้นผมสีดำสนิทของเขา ดึงเขาให้แนบแน่นขึ้น จังหวะที่เขาแนบริมฝีปากลงไปไล่ลิ้นบนแอ่งไหปลาร้าของเธอ ส่งเสียงสะอื้นเบา ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว
มือของเขาเลื่อนขึ้นมาครอบครองอกอ่อนของเทพี สัมผัสหนักแน่นและเยือกเย็น ราวกับควบคุมพลังอำนาจแห่งนรกไว้ภายใต้ฝ่ามือ และราวกับเขาเข้าใจทุกจุดอ่อนของเธอ เขาสัมผัสอย่างเชื่องช้าแต่เร้าเร่ง อโฟรไดท์สั่นไหวเหมือนกลีบดอกไม้ใต้สายฝน
เขาผละริมฝีปากออกเล็กน้อย จ้องลึกลงไปในดวงตาสีฟ้าอำพันที่ตอนนี้ฉ่ำปรือ เธอหายใจหอบ หน้าแดงซ่านแต่ก็ไม่หลบสายตาเขา
"ข้าควรหนีเจ้าไปตั้งแต่แรก..." เขาพึมพำ ดวงตาเต็มไปด้วยแรงปรารถนา "แต่เจ้า—เจ้าเป็นพายุที่ข้าไม่อาจหยุดยั้ง"
"งั้นก็จมอยู่ในพายุนั้นไปกับข้า..." อโฟรไดท์กระซิบ ปลายนิ้วไล้ตามแนวกรามเขา "เราจะไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิมได้อีกแล้ว... ไม่หลังจากนี้"
เขาก้มลง จูบริมฝีปากเธออีกครั้ง—ยาวนาน ลึกซึ้ง และเต็มไปด้วยคำมั่นสัญญาที่ไม่มีคำพูดใดจะอธิบายได้
พวกเขาแนบกายกันท่ามกลางสายธารต้องห้ามที่เย็นเฉียบ แผ่นหลังของเธอพิงกับโขดหินชื้นหยาบ กลีบปากเปิดรับความเร่าร้อนที่เขาส่งผ่าน ลมหายใจร้อนผ่าวระคนเย็นน้ำที่ปะทะผิว ทุกสัมผัสตื่นขึ้นราวกับได้รับชีวิตใหม่
ร่างกายของเขาและเธอสอดประสานเป็นจังหวะ บางจังหวะช้าเนิบนาบ บางจังหวะรุนแรงจนสายน้ำกระเซ็น เสียงผิวกายกระทบกันดังประสานกับเสียงธรรมชาติ กลายเป็นเพลงรักต้องห้ามที่ไม่มีใครในจักรวาลนี้ควรได้ยิน
เสียงคราง เสียงหอบหายใจ ความร้อนผ่าวที่แผ่กระจายจากจุดที่สัมผัสถึงปลายเส้นผม ทุกความรู้สึกถูกปลดปล่อยราวกับพันธนาการพันปีถูกปลดคลาย
วินาทีที่เขาฝังใบหน้าลงบนไหล่เธอ และเธอกอดเขาแน่นด้วยแขนทั้งสองข้าง ความเย็นชาที่เคยปกคลุมดวงตาเขาก็ละลายไป รอยยิ้มบางจางแต้มอยู่บนริมฝีปากของเขา ราวกับเพิ่งรู้จักคำว่าความอบอุ่นเป็นครั้งแรก
"เจ้า...ไม่เหมือนใคร" เขาเอ่ยเสียงแผ่ว สะท้อนความรู้สึกลึกในใจที่ไม่เคยบอกใครมาก่อน
"เพราะไม่มีใครเคยกล้าเผชิญข้าอย่างเจ้ามาก่อน" เธอยิ้ม แย้มรอยยิ้มที่ไม่ได้เยาะเย้ย แต่เต็มไปด้วยความจริงใจและ... ความรัก
พวกเขานอนแนบกันริมสายธาร ละอองน้ำยังคงเกาะบนผิว ลมหายใจเริ่มช้าลงอย่างสงบ ราวกับจักรวาลได้หยุดเคลื่อนไหวเพื่อให้ช่วงเวลานี้คงอยู่ตลอดไป
วาสซาโกเอื้อมมือมาไล้แก้มเธออย่างแผ่วเบา นิ้วของเขาเก็บน้ำหยดเล็กจากขอบตาเธอไปอย่างเงียบงัน
"นี่ไม่ใช่เพียงปรารถนา" เขากระซิบติดริมฝีปากเธอ
"แต่คือพันธะ...ที่เราเลือกจะจดจำ"
ดวงจันทร์ลอยต่ำ แสงสลัวยังคงลอดผ่านพุ่มไม้ เสียงน้ำตกยังคงไหลรินอย่างต่อเนื่อง เงาเงียบของค่ำคืนห่มคลุมทั้งสองไว้ ราวกับโลกทั้งใบหายไป เหลือเพียงหัวใจสองดวง... ที่เต้นประสานกันท่ามกลางสายธารต้องห้าม